เทอร์โมมิเตอร์ใช้ในการวัดอุณหภูมิร่างกายซึ่งบ่งบอกว่าคุณมีไข้หรือไม่ และยังมีประโยชน์ในการวินิจฉัยภาวะอื่นๆ ได้ด้วย
ขั้นอนการใช้งานขึ้นอยู่กับประเภทหรือชนิดของเครื่องวัดที่คุณมี มีหลายประเภทได้แก่แบบดิจิตอล แบบอินฟราเรด เครื่องวัดอุณหภูมิทางหู และเทอร์มอมิเตอร์แบบปรอทหรือแก้ว คำแนะนำทั่วไปและวิธีในการใช้งานประเภทต่างๆ มีดังนี้
วิธีการวัดอุณหภูมิทางช่องปาก
ด้วยอุปกรณ์นี้สามารถรับอุณหภูมิของร่างกายได้โดยการวางไว้ใต้ลิ้นในช่องใต้ลิ้น ดังนี้หากผู้ป่วยรัปประทานของเหลวร้อนหรือเย็นและการสูบบุหรี่อาจทำให้การอ่านค่าอุณหภูมิที่่ตรวจวัดเปลี่ยนแปลงและไม่ถูกต้องได้
ด้วยเหตุนี้ขอแนะนำให้เลื่อนการวัดอุณหภูมิออกไปอีก 10-15 นาที หลังจากดื่มเครื่องดื่มหรือสูบบุหรี่
- เปิดเครื่องโดยการกดปุ่มเปิด/ปิด
- หากใช้สำหรับช่องปาก ให้วางปลายไว้ใต้ลิ้น ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ผลิต
- ปิดปากไว้จนกว่าจะมีเสียงบี๊บหรือส่งสัญญาณว่าเสร็จสิ้น
- อ่านอุณหภูมิที่แสดงบนหน้าจอ LCD
วิธีการวัดอุณหภูมิร่างกายทางรักแร้ (ใต้วงแขน)
ใช้เพื่อวัดอุณหภูมิบริเวณรักแร้ของคุณ อุณหภูมิใต้วงแขนมีแนวโน้มที่จะแม่นยำน้อยกว่าอุณหภูมิร่างกายในช่องปาก อย่างไรก็ตามยังมีประโยชน์ในการคัดกรองการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิร่างกาย
- เปิดเครื่องวัด
- วางปลายไว้ที่รักแร้และให้แน่ใจว่าสัมผัสกับผิวหนังได้ดี
- กดแขนแนบกับลำตัวจนและรอจนกระทั่งมีเสียงบี๊บ
- อ่านค่าอุณหภูมิที่แสดงบนหน้าจอ
วิธีการใช้เครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรด:
วิธีการนี้ได้รับความนิยมเนื่องจากมีการวัดอุณหภูมิแบบระยะไกล ไม่มีการปนเปื้อน ไม่มีการสัมผัส และการวัดอุณหภูมิที่แม่นยำ ไม่เพียงแต่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะใช้เท่านั้น แต่คุณยังสามารถใช้ตามทางเข้าร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร และสถานที่สาธารณะอื่นๆ ได้อีกด้วย
โดยมีหลักการทำงานส่งผ่านคลื่นอินฟราเรดโดยไม่ต้องสัมผัสกับผิวหนังของบุคคลและแสดงผลลัพธ์ในไม่กี่วินาที ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีใช้
- ชี้เทอร์โมมิเตอร์ไปที่วัตถุหรือส่วนของร่างกายที่คุณต้องการวัดจากระยะไกลตามที่ระบุไว้ในคำแนะนำของอุปกรณ์
- กดปุ่มไกปืนเพื่ออ่านค่าอุณหภูมิ
- เครื่องวัดบางรุ่นอาจมีคำแนะนำการใช้งานเฉพาะที่แตกต่างกัน ดังนั้นโปรดปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านั้น
วิธีการใช้เครื่องวัดอุณหภูมิทางหู:
การวัดอุณหภูมิทางหู ก่อนที่จะใช้ ให้ผู้ดูแลตรวจหูของผู้ที่ต้องการตรวจวัดอุณหภูมิก่อน
ปกติแล้วคนเราจะมีขี้หูอยู่ในหู หากมีมากเกินไปที่จะทำให้ผลการวัดไม่ถูกต้องได้ อย่าใช้เทอร์มอมิเตอร์วัดทางหู เมื่อผู้ป่วยบาดเจ็บบริเวณหู ติดเชื้อที่หู หรือเพิ่งได้รับการผ่าตัดหู
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าช่องหูสะอาด
- เปิดเครื่องวัดอุณหภูมิทางหู
- ค่อยๆ ดึงใบหูไปด้านหลังเพื่อยืดช่องหูให้ตรง
- ใส่เทอร์โมมิเตอร์เข้าไปในช่องหูและปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ผลิตเพื่อความลึก
- กดปุ่มเพื่ออ่านค่า
เทอร์มอมิเตอร์แบบปรอทหรือแบบแก้ว:
- เขย่าเทอร์มอมิเตอร์เพื่อรีเซ็ตระดับปรอท
- วางว้ใต้ลิ้นหรือรักแร้ ตามประเภทของเทอร์โมมิเตอร์
- ปล่อยทิ้งไว้ตามเวลาที่แนะนำ (ปกติไม่กี่นาที)
- ถือในระดับสายตาและอ่านสเกลอย่างระมัดระวัง
ปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ผลิตเสมอสำหรับการใช้งานอย่างเหมาะสมและการทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์เป็นสิ่งจำเป็น
นอกจากนี้สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือแบบปรอทกำลังจะเลิกใช้เนื่องจากปัญหาด้านความปลอดภัย และแนะนำให้ใช้แบบดิจิตอลเพื่อการวัดอุณหภูมิที่แม่นยำและปลอดภัย
ค่าอุณหภูมิปรกติของร่างกาย
ประมาณ 37°C เป็นอุณหภูมิร่างกายปกติของเด็กและผู้ใหญ่ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมของค่าอุณหภูมิร่างกายปกติ
- ไข้: ไข้จะแสดงด้วยอุณหภูมิในช่วง 38–38.9°C
- ไข้สูง: ไข้สูงจะแสดงด้วยอุณหภูมิ 39°C หรือสูงกว่า
ไข้ส่วนใหญ่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่บางครั้งคุณจำเป็นต้องไปพบแพทย์
- ทารก: หากลูกน้อยของคุณอายุต่ำกว่า 3 เดือนและมีไข้ คุณควรไปพบแพทย์เสมอ
- เด็ก: การติดเชื้อไวรัส (เช่น หวัด) มักเป็นสาเหตุของไข้ ไข้ไม่ได้บอกคุณว่าลูกของคุณป่วยหนักหรือไม่ หากลูกของคุณดูไม่สบายและคุณกังวล ให้พาลูกไปพบแพทย์ไม่ว่าลูกจะมีไข้หรือไม่ก็ตาม เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับไข้ในเด็ก
- ผู้ตั้งครรภ์: หากคุณกำลังตั้งครรภ์และมีไข้ ควรตรวจสอบกับพยาบาลผดุงครรภ์ แพทย์ หรือพยาบาลก่อนรับประทานยา หากคุณมีไข้นานกว่าหนึ่งวัน ให้ตรวจสอบกับพยาบาลผดุงครรภ์ แพทย์ หรือพยาบาล อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการตั้งครรภ์และอุณหภูมิร่างกาย
การเลือกซื้อเทอร์โมมิเตอร์
การเลือกซื้อชนิดใดนั้นขึ้นอยู่กับความต้องการและความชอบเฉพาะของคุณ มีหลายประเภทให้เลือกใช้งาน แต่ละประเภทมีข้อดีและกรณีการใช้งาน ต่อไปนี้เป็นปัจจัยบางประการที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกซื้อที่ดีที่สุดสำหรับความต้องการของคุณ:
1. ประเภทของเทอร์โมมิเตอร์:
พิจารณาประเภทของเทอร์โมมิเตอร์ที่เหมาะกับความต้องการของคุณ ประเภททั่วไปได้แก่แบบดิจิตอล แบบอินฟราเรด และเครื่องวัดอุณหภูมิแบบปรอทหรือแก้วแบบดั้งเดิม
- แบบดิจิตอลมีความหลากหลายและใช้งานง่ายตามวัตถุประสงค์ทั่วไป
- แบบอินฟราเรดให้การวัดอุณหภูมิแบบไม่สัมผัสและเหมาะสำหรับการวัดที่รวดเร็ว
- เครื่องวัดทางหูช่วยให้อ่านค่าได้รวดเร็ว โดยเฉพาะสำหรับทารกและเด็กเล็ก
2. ความแม่นยำ:
- ตรวจสอบระดับความแม่นยำ สำหรับการใช้งานทางการแพทย์หรือการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ความแม่นยำสูงถือเป็นสิ่งสำคัญ
3. ความเร็วในการวัด:
- พิจารณาความเร็วที่เครื่องอ่านค่าได้ โดยทั่วไปแล้วแบบอินฟราเรดและดิจิตอลจะให้ผลลัพธ์ที่เร็วกว่าเมื่อเทียบกับแบบปรอทแบบดั้งเดิม
4. ใช้งานง่าย:
- เลือกเทอร์มอมิเตอร์ที่ใช้งานง่ายโดยเฉพาะหากจะใช้ที่บ้าน
- คุณสมบัติต่างๆ เช่น หน้าจอขนาดใหญ่ที่อ่านง่าย และปุ่มที่เรียบง่าย จะช่วยยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้
5. งบประมาณ:
- กำหนดงบประมาณของคุณ เนื่องจากช่วงราคาของสินค้าแต่ละรุ่น แต่ละแบรนด์อาจแตกต่างกันไป โดยทั่วไปแบบดิจิตอลจะมีราคาไม่แพง ในขณะที่แบบอินฟราเรดหรือแบบเฉพาะทางทางการแพทย์อาจมีราคาสูงกว่า
6. คุณสมบัติเพิ่มเติม:
- บางรุ่นมาพร้อมกับคุณสมบัติพิเศษ เช่น พื้นที่เก็บข้อมูลหน่วยความจำสำหรับการอ่านค่าที่ผ่านมา ตัวบ่งชี้ไข้ และการแสดงแสงพื้นหลัง ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน